ลงสีออร่าแบบฟุ้งๆในโปรแกรม SAI by akara
Sep0
วิธีการลงสีออร่าแบบฟุ้งๆ แบบในภาพนี้
รูปที่ไม่มีออร่า
ใช้ Tool Brush โดยตั้งค่าดังรูป จุดสำคัญคือปรับให้ Density เป็น Spread (ปกติจะเป็น[None])
ลงสีรอบๆดาบด้วยสีเข้มก่อน
จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีสว่างขึ้น และ ปรับ Brush เป็นหัวเล็กลงแล้วลงสีรอบๆดาบ
ปรับขนาด artboard ให้เหมาะสมกับชิ้นงานใน illustrator by Lynne
Sep0
จะตัดให้พื้นมีขนาดเหมาะกับชิ้นงานก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะมันไม่มีเครื่องมือ crop เหมือนใน
photoshop
โคลนนิ่งภาพง่ายๆด้วย Clone stamp tool (PS) by Tae Romphopark
Sep0
2.คลิกเลือกเครืองมือ Clone stamp tool (s)
3.จากนั้นกดปุ่ม Alt ค้างไว้และคลิกตรงตำแหน่งที่ต้องการโคลนนิ่ง จะได้วงกลมรอยปะตามภาพ
4.ลากไปจุดที่ต้องการ ก็จะได้ภาพโคลนนิ่งในเลเยอร์เดียวกันแล้วครับ
การแก้ปัญหาขณะติดตั้ง PHP Agent ของ Newrelic by heha
Sep0
วันก่อนผมเจอปัญหา process newrelic ส่วนของ PHP Monitoring ไม่ทำงาน ไม่มี Process สร้างขึ้นมาเลย และพอไปดู log ก็พบ error ดังนี้
errno=ECONNREFUSED. Failed to connect to the newrelic-daemon
ตอนสั่ง start newrelic PHP Agent แล้วปรากฏว่ารันไม่ขึ้น ซึ่งไม่เคยเจอปัญหานี้มาก่อน เลยไปค้นหาวิธีแก้ พบว่ามีทางแก้สองแบบ
แบบแรก
แก้ไขไฟล์ 20-newrelic.ini จาก
newrelic.daemon.port = "/tmp/.newrelic.sock"
เป็น
newrelic.daemon.port = "@newrelic-daemon"
แล้วสั่ง
service php5-fpm restart
service newrelic-daemon restart
แต่ผมลองแล้วไม่ได้ผล เลยต้องหาวิธีใหม่ได้แบบที่สองคือ
แบบที่สอง
1. พิมพ์
getent group newrelic
จะได้ผลลัพธ์ประมาณ newrelic:x:GroupID: ออกมา ให้จำค่า GroupID ไว้สำหรับใช้ต่อไป
2. แก้ไขไฟล์ /etc/sysctl.conf โดยเพิ่ม ข้อมูลดังนี้เข้าไป
fs.proc_can_see_other_uid = 0
fs.proc_super_gid = GroupID
ข้อควรระวังคือ fs.proc_super_gid สามารถใส่ GroupID ได้เพียงอันเดียว ถ้ามี fs.proc_super_gid อยู่ก่อนแล้วให้คุณสร้าง group ใหม่ขึ้นมาแล้วใส่ users ที่ต้องการใช้งานเข้าไปใน group ให้ครบทุก user แล้วใช้ group ใหม่นั้นแทนไปเลย แต่ถ้าไม่เคยสั่ง fs.proc_super_gid มาก่อนก็ไม่ต้องสนใจส่วนนี้
3.
sysctl -p
4.
service php5-fpm restart
service newrelic-daemon restart
5. เสร็จเรียบร้อย
[UNITY] [Editor] เทคนิคการเขียน Editor ภาค 3 by tosawat
Sep0
[UNITY] [Editor] เทคนิคการเขียน Editor ภาค 3
จากคราวที่แล้ว เรื่อง Validate Function ของ MenuItem วันนี้เราจะมาสอนเรื่อง Hot Key ครับ
รู้หมือไร่?? เราสามารถกำหนด Hot Key ให้ MenuItem ของเราได้ เพื่อที่จะได้เรียกใช้ได้ง่ายๆครับ วิธีใช้ก็ดังนี้เลยครับ
[MenuItem("Test/Menu1", false, 1)]
static void Menu1() { }
[MenuItem("Test/Menu2", false, 1)]
static void Menu2() { }
[MenuItem("Test/Menu3", false, 51)]
static void Menu3() { }
[MenuItem("Test/Menu4", false, 101)]
static void Menu4()
{
Selection.activeGameObject.name = "Test";
}
[MenuItem("Test/Menu4", true, 101)]
static bool Menu4Validator()
{
return Selection.activeGameObject != null;
}
นี่คือ code ของคราวที่แล้ว แล้วถ้าเราอยากให้ Menu4 นั้นมี Hot Key ก็ให้แก้พารามิเตอร์ตัวแรก ของ MenuItem
ซึ่งมี supported keys อยู่ดังนี้ครับ
% – CTRL on Windows / CMD on OSX
# – Shift
& – Alt
LEFT/RIGHT/UP/DOWN – Arrow keys
F1…F2 – F keys
HOME, END, PGUP, PGDN
เมื่อเราจะใส่ก็ใช้ประมาณนี้นะครับ
[MenuItem("Test/Menu4 %x", false, 101)]
static void Menu4()
{
Selection.activeGameObject.name = "Test";
}
[MenuItem("Test/Menu4 %x", true, 101)]
static bool Menu4Validator()
{
return Selection.activeGameObject != null;
}
จะได้ผลลัพท์ดังรูป
สังเกตุ1: จะต้อง เว้นวรรคก่อนใส่สัญลักษณ์ Hot Key เสมอนะครับ
สังเกตุ2: ถ้ามี Validate Function จะต้องแก้พารามิเตอร์ตัวแรกให้เหมือนกันนะครับ
เราสามารถใส่ %#&x เพื่อแทน Hot Key Ctrl+Alt+Shift+x ได้ครับ
ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับการแนะนำ Feature ต่างๆของ UnityEditor ครับ
แต่จริงๆแล้ว UnityEditor ยังทำอะไรๆได้อีกมาก ถ้าใครอยากรู้มากกว่านี้ไปศึกษาดูได้ ที่นี่ ครับ