Vultr Cloud Hosting มีดีอย่างไร? by

30
Sep
0

ก่อนอื่นขอ Review เทียบ DigitalOcean vs Linode vs Vultr ที่เป็น SSD Cloud Hosting เหมือนกันนะครับ (หาข้อมูลจากในเน็ตมาเทียบๆ กันดูได้สรุปดังนี้)

Vultr - Performance ดีสุด Support ดีมาก Feature ครบครัน แต่ไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูลว่า Hardware ที่รองรับด้านล่างเป็นอะไรบ้าง ราคาน่าจะถูกสุดเพราะมี 20% Discount อยู่ตอนนี้ เป็นน้องใหม่จากบรรดา 3 เจ้า Feature ใหม่ๆ ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องรวดเร็วมาก ผ่านไปไม่กี่เดือน Feature ใหม่งอกตรึม ที่สำคัญ มี Private Network ที่ลูกค้าคนอื่นเข้าถึงไม่ได้ด้วยนะ! API ให้ยิงน้อยที่สุดใน 3 เจ้า เนื่องจากยังเป็นน้องใหม่อยู่ รอดูอนาคตยาวๆ อ้อ มี Location ให้เลือกมากสุดในสามเจ้าด้วย

Linode – Feature เยอะสุดเนื่องจากเก่าแก่ที่สุด (บุญเก่ามีเยอะ) ลูกค้าสามารถทำอะไรเองโดยไม่พึ่ง support ได้หลายอย่าง มี Feature ใกล้เคียง Dedicate Host มากที่สุด แต่ Support กากสุดๆ ตอบไม่ตรงคำถาม โบ้ยความผิด นั่นนี่ รู้สึกว่าคนดูแล support จะน้อยด้วย ส่วน Performance ดีเป็นอันดับสอง (แพ้แค่ 10%) ว่ากันตามจริงคน Review เชียร์ Linode เยอะมากๆ เรื่อง Stability และ Feature ที่เยอะกว่าคู่แข่ง สงสัยบุญเก่าเยอะจริง ข้อดีอีกอย่างคือสามารถ Scale up และ Scale down ผ่านหน้าเว็บโดยไม่ต้องกดสร้างจาก snapshot ได้ทำให้สะดวกกว่าเจ้าอื่นๆ

DigitalOcean – Performance กากสุด (ต่ำกว่าชาวบ้าน 2 เท่า) Feature น้อยสุด Support ดีเลิศที่สุด ถ้าทำอะไรพลาดหรือทำเราเสียเวลาจะคืนเป็น Credits ให้ น่าจะดังที่สุดในตอนนี้เพราะน่าจะออกสื่อบ่อยสุดละ รวมไปถึง community และ Document จะมากที่สุด

โอเค พอรู้จักกันแล้วมาเข้าสู่เนื้อหาว่า Vultr ทำอะไรได้บ้าง ข้อดีก็ตามนี้เลย

  • ราคาถูกกว่าชาวบ้าน performance ดีกว่าชาวบ้านตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
  • มี Reserved IP เอาไปผูกติดกับ instance ไหนก็ได้ คล้าย Elastic IP ของ amazon ย้ายกลางทางก็ได้ (ต้อง restart เครื่อง กินเวลาประมาณ 3-5 นาที) ส่งผลให้ไม่ต้องสร้าง load balance มาคั่นกลางให้เปลืองค่า bandwidth และ spec เครื่องที่มีแต่ load balance เท่านั้น แถมในทางทฤษฎี ถ้า bandwidth ใกล้เต็มก็สามารถลบทิ้งสร้างใหม่เพื่อ Refill bandwidth ได้ด้วย (ยังไม่เคยทำหรอก แต่คิดว่าน่าจะได้ ถ้าไม่โดน ban 555)
  • มี location ให้เลือกมากกว่าคู่แข่งมาก
  • มี local storage หรือก็คือ instance ที่เป็น hdd จานหมุนธรรมดาให้เลือกใช้ใน network เดียวกันด้วย เอาไว้เก็บ backup ได้ง่ายๆ โดยดีกว่า ssd เรื่องความจุที่มากกว่า (แค่เรื่องเดียวน่ะแหละ) ตอนนี้มีแค่ 4 location ให้เลือกคือ New Jersey, Los Angeles, Amsterdam, Tokyo
  • Snapshot ฟรี! กี่อัน ขนาดเท่าไหร่ก็ได้ เนื่องจากยังเป็น beta (อนาคตอาจเก็บตัง)
  • Snapshot นี้จะ Restore กันข้าม Location ก็ได้นะ!
  • มี internal private network ที่ access จาก account ลูกค้าคนอื่นไม่ได้ ไม่เหมือนกัน digitalocean
  • มี kvm เข้าไปดูหน้าจอเครื่องได้เวลาเซ็ตค่า network อะไรผิดก็สามารถเข้าไปแก้ไขได้
  • ลง OS อะไรก็ได้จากเครื่องเรา ไม่จำเป็นต้องเป็น OS ที่ vultr เตรียมให้
  • มี IPv6
  • มี DDos Protection.
  • มี credit ให้ใช้ฟรีครั้งแรก $50 ผ่าน link นี้ !!

สำหรับ Reserved IP ต้องส่ง Ticket ไปขอเปิดใช้งานก่อนนะครับถึงจะใช้ได้ (ยัง Beta แต่ก็ไม่พบปัญหาอะไรเท่าที่ใช้มา) มี Trick เล็กน้อยคืออย่ากด convert ip ที่มีอยู่แล้วและผูกกับเครื่องอยู่ไปเป็น reserve ip เพราะคุณจะไม่สามารถถอด ip นั้นออกจาก Instance ตัวนั้นได้อีกต่อไปตลอดกาล จนกว่าจะลบ instance นั้นทิ้ง เพราะ Instance ตัวหนึ่งๆ จะต้องมี ip ผูกไว้อย่างน้อยหนึ่ง ip เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำ เช่นเดียวกับการสร้าง Instance ใหม่ ห้ามสร้างโดยระบุ ip จาก reserved ip ไม่งั้นจะย้าย ip ไม่ได้นอกจากลบ instance ก่อนอีกเช่นกัน วิธีที่ถูกต้องคือให้ไปเพิ่ม reserve ip สำหรับเครื่องนั้นๆ โดยตรงแล้วค่อยกด detach และกด attach เข้าเครื่องใหม่ จึงจะสามารถย้าย ip ไปผูกกับเครื่องใหม่ได้อิสระโดยไม่ต้องทำลายเครื่องเก่าทันที ทำให้หากมีข้อผิดพลาดอะไรต้อง copy จากเครื่องเก่ามาก็ยังสามารถทำได้

ใช้มาเดือนนึงมีปัญหาติดขัดหน่อยนึงคือจู่ๆ Instance ก็ restart ตัวเอง! (เครื่อง database ด้วย แหม่… ดีที่ไม่พัง ข้อมูลยังไม่เยอะ) แต่เมื่อ restart vultr ก็รีบ email มาแจ้งทันทีว่าต้อง restart เนื่องจากเกิดเหตุ critical issue บางอย่างบน physical server ก็เลยจำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน ก็รอดูต่อไปว่าจะมีปัญหาอย่างอื่นอีกไหม รวมๆ ก็ยังถือว่าดีอยู่ครับ ขอให้โชคดีนะครับทุกท่าน :)

 

AWS กับการทดลองใช้งาน by

30
Jun
0

มีโอกาสได้ทดลองใช้งาน AWS ก็พบว่าใช้ยากโคตรๆ เครื่องมือมันเยอะไปหมดจนไม่รู้จะทำอะไร เริ่มตรงไหน ยังไง แนะนำว่าต้องมีความรู้ System Admin ในระดับกลางค่อนไปทางสูงนะครับถึงจะใช้งานได้ดั่งใจ สถาปัตยกรรมทาง hardware สุดท้ายเราก็ยังต้องรู้อยู่ดี หากใครเป็น Programmer ที่ไม่มีความรู้ System Admin มากนักแนะนำให้ไป Heroku จะง่ายกว่ามาก ก่อนอื่นแนะนำให้ไปอ่านบทความสองที่นี้ซะก่อนเพื่อให้มองเห็นภาพรวมการใช้งาน

เมื่ออ่านจบแล้วขอเตือนก่อนว่า AWS จะให้บริการคุณฟรี 1 ปี โดย limit ค่าต่างๆ ไว้ หากใช้ไม่เกินต่อเดือน คุณจะไม่เสียเงิน แต่หากใช้เกินก็จะเสียเงินเฉพาะส่วนที่เกิน เหมือนจะดูดี แต่ทีนี้ปัญหาคือหากใครศึกษาไม่ละเอียดพออาจเข้าใจผิดได้ และพอหมด 1 ปีที่ให้ฟรีแล้ว ก็อาจจะเสียค่าบริการแบบแพงหู่ฉี่ ไม่รู้เรื่องเอาได้ง่ายๆ

สำหรับค่าใช้จ่ายของ AWS มักจะคิดเป็นรายชั่วโมง ดูตัวเลขก็เหมือนจะถูกดี คิดเฉพาะที่ใช้งาน ถ้าคุณใช้แค่วันเดียวเลิก โอเคมันคุ้มแน่ๆ เสียตังไม่กี่บาท แต่ถ้าจะใช้งานระยะยาวแล้วจะใช้ได้คุ้มต้องศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดีเสียก่อน ต้องศึกษาดีๆ เทียบกับ VPS ทั่วๆ ไปด้วยเพราะ performance ต่อราคาที่ AWS ให้นั้นไม่ได้ดีอย่างที่คิด อย่างไรก็ตามลองอ่านสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วจำไว้ให้ดี

  1. Cloud ไม่ใช่พระเจ้า หลากหลายข้อดีของมันนั้น แลกมาซึ่งประสิทธิภาพที่ลดลง
  2. การใช้ Server Hardware แล้วเสียเฉพาะค่า Colo + ค่าจ้าง System Admin ถูกที่สุดเสมอในการใช้งานระยะยาว รวมไปถึง Performance เทียบราคาแล้วจะดีกว่า Cloud แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
  3. หากคุณต้องการแค่พื้นที่ส่วนตัว, OS ส่วนตัว แต่ไม่อยากยุ่งยากเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจบานปลาย แนะนำให้เช่า VPS จะ control ค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า
  4. Cloud ไม่ใช่การใช้งานส่วนตัว คุณ share ทรัพยากรร่วมกับผู้อื่นแทบทุกอย่าง แม้จะมี disk,OS แยกจากชาวบ้าน แต่คุณยังต้องแชร์ CPU, I/O กับชาวบ้านเสมอ โอกาสที่จะใช้งานได้เร็วกว่าเครื่องจริงมีน้อยมาก เนื่องจากทุกอย่างต้อง share กับชาวบ้านหมด
  5. การใช้งาน Cloud คือการแลก Performance ที่แย่ลง (เพราะใช้ Virtual Machine และ share กับชาวบ้าน) กับความยืดหยุ่นในการออกแบบ Architecture ทาง hardware เพราะคุณจะมี hardware เสมือน (VM) กี่เครื่องก็ได้ สร้างเมื่อต้องการจะใช้ และลบเมื่อไม่ใช้ หากเป็นการใช้งานแบบนานๆ ใช้ที ไม่ต้องเปิดใช้ตลอด จะคุ้มแน่นอนเพราะคิดเป็นรายชั่วโมง ดีกว่าจ่ายค่าเช่า colo แล้วนานๆ ใช้ที
  6. สิ่งที่เป็นปัญหาของ Cloud ทุกๆ เจ้าคือการเขียนอ่านลง disk จะมี performance แย่กว่าเครื่องจริงหลายเท่า ดังนั้นการใช้งาน Database หนักๆ IOPS เยอะๆ อาจไม่ใช่เรื่องดีนักบน Cloud
  7. อย่างไรก็ตาม AWS ก็แก้ปัญหา IOPS ด้วยการออก EBS แบบ Provisioned IOPS ซึ่งสามารถแยก I/O ตัวเองออกจากคนอื่นได้ดีกว่าแบบปกติ ส่งผลให้การทำงานไม่ขึ้นๆ ลงๆ มีความเสถียรมากกว่าเดิม แต่ก็แลกมากับราคาที่สูงขึ้นพอสมควร โดยแบบ 4000 IOPS นั้น(สูงสุดในเดือนมิ.ย.56 นี้) ราคาจะตกเดือนละ $400 หรือ หมื่นสองพันบาท ลองคิดว่าเราซื้อ SSD 128GB มาใช้เองไม่เกินห้าพันแถมจ่ายครั้งเดียวจบ ยังไงราคาก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว แถมได้ค่า IOPS เกินหมื่นอีกต่างหาก
  8. จากการทดลองใช้ CPU รุ่นธรรมดานั้นช้ามาก ขนาดปรับเป็น High-CPU ขั้นแรกยังรู้สึกว่ารับได้ไม่มากเลย หากปรับสูงกว่านั้นก็จะเริ่มแพงมากแล้ว ซึ่งเลยจุดที่ไปเช่า VPS ถูกๆ เอาคุ้มกว่ามาก
  9. ค่าใช้จ่ายคิดเป็นรายชั่วโมง เหมือนจะน้อย แต่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4 อย่างที่คุณต้องจ่ายแน่ๆ และประมาณการต่อเดือนลำบากมาก โดยส่วนที่แพงที่สุดคือ Bandwidth และ IOPS
    • ค่า CPU/Memory
    • ค่า Bandwidth -> ส่วนที่ประมาณได้ยากที่สุด และแพงที่สุด
    • ค่าปริมาณ Storage ที่ใช้งาน -> หน่วยเป็น GB
    • ค่า IOPS (ค่า I/O ยิ่งสูงยิ่งแพง) -> แพงรองลงมา และประมาณได้ยากเป็นอันดับสอง
  10. AWS จะมีบริการเสริมเช่น RDS (MySQL Database), DNS, Load Balancer แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแนะนำว่าสร้าง OS มาติดตั้ง software เองดีกว่านะ (ถ้าทำเป็น) เพราะจะ config ได้มากกว่ามาก และราคาถูกกว่ามาก
  11. หากต้องการประหยัดค่า Bandwidth อาจะพิจารณาใช้ CDN cloudflare.com ช่วยเพราะจ่ายเหมาเป็นรายเดือนช่วย cache static content
  12. ข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากใน AWS คือ Elastic IP ซึ่งทำให้สามารถเรา setup server อีกเครื่องแยกต่างหาก แล้วเปลี่ยนการผูก IP จากเครื่อง A ไปเครื่อง B ได้เลยแบบไม่มี down time และไม่ต้องแก้ DNS เลย สะดวกมาก

ต่อไปเป็น Note สรุปการใช้งานของผมเองดังนี้

  • EBS คือ Harddisk, S3 คือ SAN
  • ข้อดีอย่างหนึ่งของ AWS คือเป็นรายใหญ่ มีหลาย Region ให้เลือกทั่วโลก สามารถ Copy AMI Image ข้าม Region ได้ ค่อนข้างสะดวกในการเปิด server หลายๆ ที่
  • EBS แบบ Provisoned IOPS จะดีกว่าเฉพาะ Random Read/Write เท่านั้น การทำงานแบบ Sequential Read/Write จะทำได้พอๆ กับแบบ Standard ซึ่งถูกกว่า
  • ระหว่าง Backup AMI ระบบจะปิด Image เพื่อ Backup อัตโนมัติ ระหว่างปิดเว็บจะใช้งานไม่ได้ ต้องระวังตรงจุดนี้
  • การ Stop Instace จะทำให้เราไม่ต้องจ่ายค่า CPU/Memory แต่เรายังต้องจ่ายค่า Storage ที่เก็บพื้นที่ใช้งานนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะ Terminate Server ทิ้ง
  • หาก AWS ไม่สามารถตอบสนองการใช้งาน IOPS ที่เราต้องการได้ (ยังใช้งาน disk หนักเกินขนาดอยู่) มีทางเลือกคือทำ Raid 0 ใน EBS ต่อหลายๆ ตัวเพื่อเพิ่ม performance I/O ได้
  • หาก AWS ล่มใน Region ใด Region หนึ่ง เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของเว็บเองที่ต้องมี Mirror site ที่คนละ Region ไว้เองด้วย (AWS ก็ล่มได้นะ ไม่ใช่ไม่เคยล่ม และเคยล่มมากกว่า 1 ครั้งด้วย)
  • Raid 10 ยังจำเป็นอยู่หาก AWS ล่มไปบางส่วน จะยังคงมี disk บางส่วนที่ยังทำงานได้
  • การใช้ SSH Keys access เข้าเครื่อง Server ต้องใช้ puttygen เปิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจาก AWS เลือก Type เป็น SSH-1 (RSA) แล้วจึงกดเซพ private key ถึงจะสามารถนำ private key นั้นๆ ไปใช้งานได้ด้วย username ubuntu
  • การแก้ไข port firewall ที่เปิดปิด สามารถแก้ไขได้ไที่ Network & Security -> Security Group เพิ่ม Inbound ส่วนที่ต้องการเช่น 22, 80, 443, 3306 ลงไป

สรุปแล้วการใช้งาน Cloud ข้อดีหลักๆ คือใช้เพื่อทดสอบว่า Application ที่เราทำขึ้นนั้น ใช้งานหนักไปในด้านไหน และหากมีคนเข้าเยอะๆ จนนิ่งเมื่อไร จึงค่อยพิจารณาซื้อ hardware จริงให้รองรับจำนวนคนเข้าได้พอดี จะดีที่สุดเพราะถึงแม้ hardware จริงจะราคาถูกกว่าเช่า cloud แต่ข้อเสียของ hardware คือจะ upgrade ทีนึงต้องวิ่งไปที่ Data Center อยู่ดี ที่เป็นหลัการที่ Zynga ใช้ครับ ส่วนใครอยากใช้ cloud และไม่เกี่ยงว่ามันตั้งอยู่ที่ US แนะนำให้ลอง Joyent นะครับ คิดเป็นรายชั่วโมง และไม่มี hidden cost มากมายทั้ง Bandwidth, Storage, IOPS แบบ aws และที่สำคัญ ถูกกว่ามากเมื่อเทียบ performance ที่ได้รับ หากใช้แบบ SmartOS (เป็น Solaris) จะยิ่งได้ performance เทียบเคียงเครื่องจริงเลยละครับ :) (เสียอย่างเดียวให้พื้นที่ HDD น้อยไปหน่อย) ขอให้โชคดีทุกคนครับ :)

หัดสร้าง Application บน Facebook ด้วย Heroku (Free Cloud Hosting) by

30
Sep
6

บทความนี้จริงๆ ก็เหมือนของเก่าเล่าใหม่ เพราะเคยเขียนไปนานมากแล้ว แต่ครั้งนี้ Facebook ได้ประกาศจับมือกับ Heroku ทำให้เรามี Cloud Hosting ได้ใช้กันฟรีๆ ไม่ต้องไปหา host เองให้วุ่นวาย (แต่เฉพาะการทำ app ง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ นะครับ ถ้าจะทำจริงจัง ควรไปเช่า host แบบจ่ายเงินจริงจังอยู่ดี) ซึ่งตัว Heroku นั้นมีข้อดีอย่างมากอย่างแรกคือมี https ในตัว ทำให้ผู้ที่ต้องการจะสร้าง application บน facebook แบบง่ายๆ ไม่ต้องไปวุ่นวายหา Host ใช้งาน และหาทางจดค่าโดเมนและค่า https certificate แบบรายปีให้วุ่นวาย ผมจึงขอเขียนเป็นบทความใหม่ดังนี้ครับ

องค์ประกอบจำเป็นสำหรับนำ application ขึ้น Facebook

รูปแสดง Architecture ของเกม facebook ทั่วๆ ไป

  • —เตรียม Hosting สำหรับเก็บไฟล์ รองรับ load การใช้งานทั่วไป (ในที่นี้ของเราคือ Heroku ครับ)
  • —สร้าง Application ใน Developer ของ Facebook
  • —SDK สำหรับติดต่อกับ Facebook ภาษาต่างๆ (หลักๆ ที่ใช้คือ PHP SDK และ Javascript SDK)
  • —ตัวเกม ตัว app ที่เราสร้างขึ้น

แฉ! (share) ข้อมูล Hosting ในต่างประเทศ (+ Cloud/Grid Hosting) by

25
Oct
5

สืบเนื่องจากการเตรียมตัวเปิดเกมบน Facebook ทำให้ต้องทำการศึกษาเรื่อง Server ต่างประเทศอย่างจริงจัง เนื่องจากใช้ Server เดิมๆที่มีที่ไทยไม่ได้เพราะ [Server ไทย ออกนอกมันห่วยแตก] – -” และลูกค้าส่วนใหญ่ของ Facebook ก็อยู่ในแถบโลกที่เจริญแล้ว (Internet เร็ว) หากมาให้ทนเข้าเวปเกมช้าๆคงไม่ work เท่าไหรแน่ :-D เพราะปัจจัยหลักอันนึงของ Web game คือ “ความเร็วในการตอบสนอง” รวมทั้ง “ความเสถียรของระบบ” ไม่งั้นลูกค้าก็หนีหายหมด

เอาหล่ะ! ว่าแล้วก็มาเริ่มเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า :-D

ทำไมถึงไม่ใช้ Server ตั้งที่ไทย

1. ลูกค้าหลักๆ (US , UK , Europe) เข้าถึง Server ในประเทศเราได้ช้ามาก

2. ผู้บริการในไทยมักเจอปัญหาเรื่องความไม่เสถียรอยู่บ่อยมาก Server ล่ม ถูกยิง เจอไวรัส เป็นประจำ

3. ในไทยยังไม่ให้บริการ Server ประสิทธิภาพสูง Grid/Cloud

ประเภทของ Server ต่างประเทศ

 เราชนะรอบ 4 | ยืมเงิน 3000 ด่วน | แอพกู้เงิน | แอพเงินด่วน | สินเชื่อออนไลน์อนุมัติทันที | Site Map | กู้เงินก้อน | กระเป๋าตัง | thisshop และ ยืมเงินฉุกเฉิน 5000 ด่วน